AWS Cloud Day 2023: เพิ่มศักยภาพ พัฒนาธุรกิจด้วย AWS
สวัสดีครับ เบนจ์ครับ จากบล็อกคราวก่อนที่ผมได้บอกเล่าเรื่องงาน AWS Cloud Day Thailand แบบจุใจไปแล้ว ในบล็อกนี้ ผมจะชวนเพื่อน ๆ มาลงลึกในส่วนของ Guest Speakers ที่ AWS เชิญมาร่วมบรรยายครับว่าเขามีประสบการณ์กับการร่วมมือกับ AWS อย่างไรบ้าง ซึ่งขอบอกเลยครับว่าเรื่องราวแต่ละท่านคือมอบแรงบันดาลใจให้ผมได้ดีเลยล่ะครับ
- บล็อก รีวิว AWS Cloud Day Thailand สามารถอ่านได้ที่ลิ้งนี้นะครับ https://dev.classmethod.jp/articles/aws-cloud-day-thailand-2023-with-benjamin/
ก่อนที่ Guest Speakers ทุกท่านจะก้าวเท้าขึ้นมาบนเวทีก็ได้รับการโหมโรงอย่างดีจากคุณคอร์เนอร์ แม็คนามารา AWS Managing Director, ASEAN คุณคอเนอร์บรรยายในหัวข้อ AWS in ASEAN and Thailand: Enabling organizations to innovate with the cloud เป็นเนื้อหาของวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจและเล่าถึงพันธกิจที่ AWS ต้องการแบ่งปันองค์ความรู้ให้กับภูมิภาคอาเซียนนี้รวมถึงเป้าหมายในอนาคตขององค์กรด้วยเช่นกันครับ
- ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถอ่านรายละเอียดของหัวข้อนี้ได้ที่ลิ้งก์นี้ครับ https://dev.classmethod.jp/articles/aws-cloud-day-thailand-2023-what-keynote-does-aws-have-to-say
หลังจากกล่าวจบ คุณคอเนอร์ได้เชิญ Guest Speaker ทั้ง 3 ท่านของเราขึ้นมาแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานร่วมกันกับ AWS เอาล่ะครับ เราไปอ่านกันเลยดีกว่า
SCG (Siam Cement Group) โดย คุณอภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer บริษัท SCG Cement-Building Materials จำกัด
Cloud Journey: Why AWS
คุณอภิรัตน์เกริ่นว่า ด้วยความร่วมมือจาก AWS ทำให้ SCG เป็นเจ้าแรกในไทยที่นำระบบ ERP ย้ายขึ้นคลาวด์ได้สำเร็จ การเปลี่ยนมาเป็น Cloud Native ในครั้งนี้ได้เพิ่มศักยภาพมากมายให้กับธุรกิจหลักของบริษัท ทั้งความสามารถในการปรับขนาด (Scalability), ความน่าเชื่อถือ (Reliability), ความสามารถในการลงทุน (Investability) ซึ่งถือได้ว่าน่าตื่นเต้นและมีประโยชน์อย่างมากเลยครับ
นอกจากนี้ คลาวด์ของ AWS ยังมีส่วนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับ SCG มากมายเช่นกัน อาทิ NocNoc แพล็ตฟอร์มมาเก็ตเพลสซื้อขายวัสดุและของแต่งบ้านจากแบรนด์ชั้นนำพร้อมบริการช่างติดตั้งครบวงจร แต่คุณอภิรัตน์ได้เอ่ยว่า “เราจะไม่หยุดอยู่แค่นั้นครับ อะไรล่ะ คือ Beyond Application Beyond Marketplace?”
IoT: the Next Generation of the Internet
“2 ปีก่อน SCG ได้ร่วมมือกับ AWS เพื่อพัฒนา IoT Solutions และเราได้พบว่า AWS IoT Core คือตัวแปรสำคัญที่จะพาเราไปสู่อนาคตได้ดีที่สุด” คุณอภิรัตน์กล่าวพร้อมให้ความเห็นว่า IoT (Internet of Things)จะเป็นสิ่งที่มาแทนแอปพลิเคชั่น เพราะตอบสนองได้ดีกว่าและอยู่ใกล้ผู้บริโภคมากกว่า ซึ่ง AWS IoT Core เองก็มีความสามารถในการจัดการที่หลากหลายด้วยเช่นกัน ทั้งรองรับข้อมูลที่หลากหลาย, ความสามารถในการสร้างและปรับลดขนาดระบบให้สอดคล้องกับปริมาณข้อมูล
SCG สร้างแพล็ตฟอร์มมากมายไว้บน AWS IoT Core แต่พวกเขาไม่ได้สร้างเพื่อแยกออกแต่เป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมครับ พวกเขาสามารถส่งพฤติกรรมของลูกค้าหรือรายการซื้อ (จากแอปและแพล็ตฟอร์ม) กลับไปยังธุรกิจเดิมเพื่อทำการวิเคราะห์ธุรกิจได้เช่นกัน และในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ IoT จะมีศักยภาพสูงมากและอาจจะครอบคลุมในทุกส่วนของการใช้ชีวิตซึ่งในปัจจุบันตลาดที่ใช้ IoT สูงมากคือ Smart Home, Smart City, Smart industry
Next Step of Beyond Application Beyond Marketplace
คุณอภิรัตน์กล่าวว่าในปัจจุบัน SCG ให้ความสำคัญกับกระแส IoT ที่จะมาในอนาคตอยู่ 3 ด้านด้วยกันตามนี้ครับ
Smart Home Smart City สมาร์ทโฮมที่มีพื้นฐานบน IoT จะทำให้บ้านลูกค้าเป็น engagement channel ใหม่ ตัวอย่างเช่น แอร์จะรู้ก่อนลูกค้าว่าน้ำยากำลังจะหมดและสามารถแจ้งเตือนให้เรียกช่างมาซ่อมได้ หรือตู้เย็นจะรู้ว่าไข่กำลังจะหมดและแจ้งเจ้าของบ้านว่าไข่ลดราคาอยู่ สนใจซื้อไหม? เป็นต้น
Smart Industry ในธุรกิจรีเทล สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การรู้ว่าลูกค้าซื้ออะไร แต่คือการรู้ว่าลูกค้าไม่ซื้ออะไรต่างหาก ข้อมูลประเภทนี้สำคัญมากเพราะจะช่วยให้เจ้าของธุรกิจออกแบบการจัดชั้นวางได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการนำ IoT มาช่วยในธุรกิจนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจรีเทลอย่างมากในหลายด้าน ๆ ด้วย เช่น ต้นทุนในการจัดเก็บ ต้นทุนในการบริหารของเสีย เป็นต้น
Smart Health Care IoT เปิดโอกาสใหม่ในการดูแลสุขภาพ SCG มีการใช้เทคโนโลยี BCI (Brain-Computer Interface) เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้ป่วยอัมพาตติดเตียงสามารถสื่อสารกับผู้คนรอบข้าง หรือปรับสภาพแวดล้อมรอบข้างอย่างการปรับเตียง อุณหภูมิห้องให้ตัวเองได้
ในตอนท้ายคุณอภิรัตน์กล่าวว่า “ภายในไม่กี่ปีข้างหน้าข้อมูล (Data) ในอินเทอร์เน็ตที่เกิดจากเซ็นเซอร์จะมีมากกว่าข้อมูลทั้งหมดที่มนุษย์เคยสร้างมาตั้งแต่วันแรก เราจะมีอุปกรณ์ IoT เป็นพันล้านเครื่องบนโลก ดังนั้นใครที่ชอบ Data Science, Machine Learning, Large Language Model คือน้ำมันบ่อใหม่ที่คุณต้องเข้าใจและไปสำรวจ เทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ข้อมูลคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าเปรียบว่าข้อมูลคือน้ำมันใหม่ ข้อมูลบน IoT (IoT Based Data) จะเป็นบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยพบเจอ”
เงินเทอร์โบ (Ngenturbo) โดย คุณสุธัช เรืองสุทธิภาพ CEO และผู้ก่อตั้งริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด
“ทำไมเราต้องมีผู้บริการทางการเงินในเมื่อเราก็มีธนาคาร? จริง ๆ แล้ว 70% ของคนไทยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนทางการเงินได้ และส่วนใหญ่ก็จะไปรวมกันที่หนี้นอกระบบ” คุณสุธัชกล่าวเปิด
เงินเทอร์โบเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสินเชื่อทางด้านการเงินที่โดดเด่นในเรื่องของความรวดเร็วในการเข้าถึงแหล่งเงินที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้เงินของผู้คน แต่คุณสุธัชได้กล่าวเสริมว่าธุรกิจการเงินเป็นธุรกิจที่ใช้เงินเยอะ ผู้เล่นในตลาดก็เป็นบริษัทในเครือธนาคารบ้าง เป็นบริษัทรายใหญ่ยิ่งกว่าธนาคารบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าใหม่ที่จะก้าวเข้าไปร่วมและอยู่รอด แล้วเราต้องทำอย่างไรให้เริ่มได้ รอดได้ ขยายได้?
สูตรสำเร็จ 3 อย่าง
“เงินเทอร์โบเรามีสูตรสำเร็จอยู่ 3 อย่างเพื่อตอบคำถามที่ผมเพิ่งได้พูดไป
1.ชนะใจลูกค้าให้ได้ สิ่งที่เราทำคือทำให้ลูกค้าเลือกที่จะเดินมาหาเรา ลูกค้าเราได้เงินภายใน 15 นาที เราประกาศตัวว่าเราเป็นผู้ให้บริการที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรมนี้
2.มีต้นทุนในการดำเนินการที่ต่ำ สิ่งที่ผมมองคือ สุดท้ายอีก 10 ปีข้างหน้าราคาตลาดของอุตสาหกรรมจะตกลงมา ใครที่ดำเนินการได้ต่ำกว่าก็จะชนะ เราเลยลงทุนในระยะแรกไปเยอะมากเพื่อให้เรามีค่าดำเนินการที่ต่ำกว่าในระยะยาว
3.ต้องคุมความเสี่ยงได้ ธุรกิจเราปล่อยเงินง่ายแต่ลูกค้าจะเอาเงินมาคืนเราไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งนี่คือความเสี่ยงที่ทุกคนในอุตสาหกรรมนี้ต้องเผชิญ”
คุณสุธัชกล่าวพร้อมเอ่ยต่อไปว่า “เราต้องการเครื่องมือที่ตอบสนองทั้ง 3 ข้อนี้ แต่ในตอนนั้น (เริ่มตั้งบริษัท) ยังไม่มี มีหลายบริษัทมาเสนอโซลูชั่นให้กับเราทั้ง ERP, CRM ฯลฯ แต่เราไม่ต้องการเอาหลาย ๆ ระบบมาต่อกัน เราเลยคิดว่าถ้าจะส่งคุณค่าเหล่านี้ให้ธุรกิจระบบของเราต้อง On-Cloud 100%”
On-Cloud 100% ตั้งแต่วันแรก
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเงินเทอร์โบเราถึง On-Cloud ตั้งแต่วันแรก? คุณสุธัชเล่าว่าเคยใช้ AWS กับธุรกิจก่อนหน้า (โรงรับจำนำ) ก่อนที่ AWS จะมาตั้งออฟฟิศในไทยพร้อมเกริ่นถึงปัญหาที่พบเจอ “ปัญหาเริ่มขึ้นตอนที่เรามีสาขาโรงรับจำนำเพิ่มขึ้น เราต้องการเซิฟเวอร์ที่มีการจัดการแบบเรียลไทม์เพราะมันเป็นเรื่องเงิน แต่ในตอนนั้นบริษัทเราอยู่ต่างจังหวัดเราเจอกับความเสี่ยงมากมายทั้งรถชนเสาไฟ ชาวนาเผาไฟสายออฟติกพัง หรือการซ่อมบำรุงที่ต้องใช้เวลา 8 ชั่วโมงถึงจะเสร็จ เราเลยไปหาข้อมูลและลองใช้คลาวด์ของหลายเจ้าเลย แต่เราก็พบว่าคลาวด์ของ AWS ใช้งานได้ดีสุด”
จากนั้นคุณสุธัชเลยใช้ AWS และขยายธุรกิจเรื่อยมาจนเชื่อใจ พอสร้างธุรกิจใหม่อย่างเงินเทอร์โบเขาเลยมั่นใจว่าธุรกิจของเขาต้อง On-Cloud 100% ระบบทุกอย่างของเงินเทอร์โบอยู่บน AWS และสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปีแรก (2560) มีทีมงาน 4 คน จนถึงปี 2561 มีสาขาแรกและเพิ่มเป็น 120 สาขา พร้อมทีมงานอีก 450 คนภายในสิ้นปี จนในปัจจุบันเงินเทอร์โบปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท
เป้าหมายในอนาคต
แม้ในปัจจุบันเงินเทอร์โบมีถึง 950 สาขากระจายตัวอยู่ทั่วประเทศในตอนนี้ แต่โลกนั้นก็หมุนไว ลูกค้าของธุรกิจคือกลุ่มที่ไม่ค่อยเก่งด้านดิจิตอล แต่คุณสุธัชก็เชื่อว่าเรื่องนี้สามารถเปลี่ยนได้ เพราะเงินเทอร์โบมีเป้าหมายที่จะทำ Digital Lending ซึ่งการเพิ่มบริการสินเชื่อไว้บนโลกดิจิตอลนี้จะทำให้เงินเทอร์โบต้องนำอินฟราสตรักเจอร์ทั้งหมดมาไว้บนคลาวด์ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจนั้นสามารถขยาย ย้าย ผ่านแพคเกจต่าง พร้อมกับตอบสนองสูตรสำเร็จทั้ง 3 ข้อข้างต้นได้กีขึ้น
“ท้ายที่สุด ถ้าประเทศเราทำให้คนเข้าถึงเงินได้ยาก และมีเพียงดอกเบี้ย 20% ต่อเดือนของหนี้นอกระบบที่คนส่วนใหญ่ใช้อยู่มันก็จะยิ่งทำให้ผู้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากเข้าไปอีก เพราะเขาอยากได้เงินแต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาโหดขนาดนีนั่นจึงทำให้เขากลัวการสินเชื่อ ดังนั้น สิ่งที่เราและเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมของเรากำลังทำอยู่คือ ทำให้คนเข้าถึงเงินได้ เข้าได้ในราคาถูกที่สุด ซึ่งทั้งหมดผมบอกได้เลยว่าผมใช้ AWS” คุณสุธัชกล่าวจบก่อนจะเดินลงเวที
2C2P โดย คุณ Aung Kyaw Moe CEO และผู้ก่อตั้ง 2C2P
2C2P ผู้อยู่เบื้องหลังการชำระเงินออนไลน์
2C2P แม้ชื่อนี้อาจจะฟังดูไม่คุ้นเคย แต่เชื่อได้เลยว่าหลายคนต้องเคยได้ใช้บริการครับโดยเฉพาะคนที่ชอบช้อปออนไลน์
คุณ Aung Kyaw Moe CEO และผู้ก่อตั้ง 2C2P ได้ขึ้นมาบนเวทีพร้อมเล่าถึงความเป็นมาของธุรกิจว่า 2C2P เป็นผู้ให้บริการระบบการชำระเงินดิจิตอล (Digital Payment Service Provider) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 20 ปีแล้ว คุณ Aung แบ่งปันเพิ่มเติมอีกว่า “เศรษฐกิจดิจิตอลกำลังขยายใหญ่ขึ้นทุก ๆ ปี ผู้คนซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์เยอะขึ้น ในขณะเดียวกันธุรกิจการชำระเงินแบบดิจิตอลก็จะเติบโตขึ้นจาก 80% ถึง 90% ในอนาคตอันใกล้”
หลาย ๆ คนที่ช้อปออนไลน์อาจจะมีโอกาสได้เห็นโลโก้ของ 2C2P ในตอนที่กำลังชำระเงินในแอปช้อปปิ้งออนไลน์ต่าง ๆ ไม่มากก็น้อยหรือบางคนอาจจะไม่เห็นเลย
(เบนจ์: ขอแทรกกลางครับ ผมเองเพิ่งสังเกตว่า 2C2P เป็นผู้ส่งเมลล์ยอดชำระเงินให้กับผมในตอนที่จองตั๋วรถกลับบ้านช่วงวันแม่ด้วยครับ^-^)
แต่คุณค่าที่ 2C2P ผู้อยู่เบื้องหลังการช้อปออนไลน์ให้นั้นคือ ‘การช่วยเหลือธุรกิจให้สามารถดำเนินการรับ-ชำระเงินได้อย่างราบรื่น’ คุณ Aung เล่าว่า “ลูกค้าของเรามีตั้งแต่แพลตฟอร์มชอปปิ้งออนไลน์เจ้าใหญ่ทุกเจ้าในไทย สายการบิน ธุรกิจนำเที่ยว หรือประกันภัย และในช่วงไฮซีซั่นอย่าง โปร 11.11 จะมีทรานแซคชั่นข้อมูลชำระเงินที่มหาศาลมาก ๆ ซึ่งหน้าที่ของเราคือการอำนวยความสะดวกให้ธุรกรรมช่วงเวลาเหล่านั้นดำเนินไปโดยไม่ติดขัด และเครื่องมือที่ช่วยเราในด้านนี้คือ AWS”
ขยายธุรกิจด้วย AWS
2C2P เริ่มต้นใช้งานคลาวด์ของ AWS เมื่อปี 2556 เหตุผลที่เลือกใช้เป็นเพราะว่า AWS มีการรับรองด้านความปลอดภัยมากมายและยังมีข้อปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในแนวหน้าของตลาดคลาวด์ 2C2P สามารถย้ายข้อมูลมาอยู่บนคลาวด์เพียงใช้เวลาแค่ 1 ปีเท่านั้น และในทุกวันนี้ 2C2P ได้ใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ และบริการหลายอย่างของ AWS ในกระบวนการชำระเงินของธุรกิจ และในที่สุด 2C2P ก็ขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่คุณ Aung เลือกใช้ AWS คือ AWS มีการรองรับ PCI DSS และนั่นทำให้ธุรกิจของเขาสามารถขยายออกไปเข้าร่วมกับภาครัฐและกลุ่มธุรกิจชำระเงินได้กว้างขึ้น
PCI DSS (Payment Card Industry Data Security Standard) เป็นมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศที่กำหนดขึ้นโดย 5 ค่ายยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย Visa, MasterCard, American Express, Discover และ JCB โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยองค์กร บริษัท และร้านค้าต่างๆ ที่มีการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต สามารถป้องกันการฉ้อโกงซึ่งเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตโดยควบคุมมาตรฐานในการเก็บรักษา ประมวลผล และรับส่งข้อมูลบัตร
“AWS ช่วยเหลือเราอย่างมาก ในวันที่ผมโทรไปติดต่อกับพวกเขา พวกเขาก็อำนวยความสะดวกตามคำขอของเราซึ่งทำให้เราขยายธุรกิจได้และมีโอกาสใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมนี้ รวมถึงสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ควบคู่ไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2557 เราได้ส่งทีมงานของเราไปเข้าร่วมหลักสูตรต่าง ๆ ของ AWS ซึ่งนั่นทำให้เรามีวิศวกรที่เชี่ยวชาญมากกว่า 50 คนซึ่งเป็นคนที่เราไม่ได้จ้างมาใหม่ ขอบคุณ AWS มาก ๆ สำหรับการเพิ่มศักยภาพให้กับเราในครั้งนี้” คุณ Aung กล่าวขอบคุณและเดินลงเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับ Cloud Journey ของ Guest Speakes แต่ละท่าน ซึ่งขอบอกได้เลยว่า นอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจแล้วพันธมิตรอย่าง AWS ก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพให้กับธุรกิจของพวกเขาทุกคน ถ้าเพื่อนคนไหนอ่านแล้วใจฟู อยากลองใช้ AWS สามารถสมัครใช้บริการกับเรา Classmethod Members ได้ครับ เพราะนอกจากจะไม่มีค่าสมัครบัญชีแล้ว เรายังมีส่วนลดให้กับค่าใช้งานเครื่องมือของ AWS อีกด้วยครับ
- อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของ Classmethod Members ได้ที่ลิ้งนี้เลยครับ https://dev.classmethod.jp/articles/what-is-classmethod-members-th/
และวันนี้ขอตัวลาไปก่อน ไว้เจอกันใหม่ในบทความหน้า ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ
บทความอ้างอิง
- Review AWS Cloud Day Thailand: https://dev.classmethod.jp/articles/aws-cloud-day-thailand-2023-with-benjamin/
- AWS in ASEAN and Thailand: Enabling organizations to innovate with the cloud: https://dev.classmethod.jp/articles/aws-cloud-day-thailand-2023-what-keynote-does-aws-have-to-say
- AWS IoT Core: https://dev.classmethod.jp/articles/what-is-aws-iot-core-2022
- PCI DSS:https://aws.amazon.com/th/compliance/pci-dss-level-1-faqs/?nc1=f_ls
- Classmethod Members: https://dev.classmethod.jp/articles/what-is-classmethod-members-th/